เดนมาร์ก ประเทศชั้นนำของโลกด้านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล
เดนมาร์กเป็นประเทศขนาดเล็กมีพื้นที่ประมาณ 43,000 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณร้อยละ 8 ของประเทศไทย มีประชากรเพียง 5.8 ล้านคน แต่มีรายได้ประชาชาติต่อหัวสูงถึงประมาณ 67,000 ดอลล่าร์สหรัฐฯ จัดเป็นประเทศที่มีความเจริญติดอันดับโลกในทุกด้าน รวมถึงด้านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลที่กลายเป็นส่วนสำคัญของชีวิตของประชาชน
เส้นทางการพัฒนาด้านดิจิทัลของเดนมาร์กได้เริ่มขึ้นอย่างจริงจังตั้งแต่ปี 2001 หรือประมาณ 20 ปีที่แล้ว ผ่านการดำเนินการตามขั้นตอนต่าง ๆ มาอย่างน่าสนใจ โดยก่อนอื่นมาดูอันดับสถิติของเดนมาร์กในด้านดิจิทัลกันว่าอยู่ในระดับแนวหน้าได้อย่างไร
1.ปี 2022 - เดนมาร์กจัดอยู่ในลำดับที่ 1 ของการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันทางดิจิทัลของโลก (World Digital Competitiveness Ranking 2022) ซึ่งประเมินจากความสามารถและความพร้อมของประเทศต่างๆ จาก 63 ประเทศในการค้นคว้าเทคโนโลยีดิจิทัลและการนำมาใช้ให้เป็นตัวขับเคลื่อนหลักสำหรับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในภาคธุรกิจ ภาครัฐและสังคม ในวงกว้าง
2.ปี 2021 - เดนมาร์กจัดอยู่ในลำดับที่ 1 จาก 110 ประเทศที่มีดัชนีคุณภาพชีวิตดิจิทัล (2021 Digital Quality of Life Index) โดยพิจารณาจาก 5 ปัจจัยพื้นฐานหลัก ได้แก่ ความสามารถในการชำระค่าบริการเพื่อเข้าถึงอินเทอร์เน็ต (Internet Affordability) / คุณภาพอินเทอร์เน็ต (Internet Quality) / โครงสร้างขั้นพื้นฐานด้านอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Infrastructure) / ความมั่นคงทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Security) และการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาปรับใช้กับการทำงานของรัฐบาลและหน่วยงานรัฐ (Electronic Government)
3.ปี 2020 - เดนมาร์กถูกจัดให้เป็น best-performing digital government ของโลก (UN e-Government Survey 2020) อยู่ในลำดับที่ 1 ติดต่อกันถึง 2 ครั้ง (ครั้งแรกในปี 2561) และเพิ่มขึ้นจากเดิมอันดับที่ 9 ในปี 2016 ซึ่งผลสำรวจ UN e-Government Survey มาจากการประเมินระดับการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลของประเทศต่าง ๆ จาก 193 ประเทศทั่วโลกใน 3 ดัชนี ได้แก่ ดัชนีรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (E-Government Development Index: EGDI) ดัชนีการมีส่วนร่วมทางอิเล็กทรอนิกส์ (E-Participation Index: EPI) และดัชนีการให้บริการภาครัฐออนไลน์ในระดับท้องถิ่น (Local Online Service Index: LOSI)
🔑กุญแจสู่ความสำเร็จ
กุญแจสำคัญที่ทำให้ยุทธศาสตร์ด้านดิจิทัลของเดนมาร์กประสบความสำเร็จ คือ การดำเนินงานอย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของบริการภาครัฐทั้งหมด โดยมี Agency for Digital Government เป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ฯ และเป็นตัวกลางระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งอยู่ภายใต้กระทรวงการคลังเดนมาร์ก
โดยนับตั้งแต่ปี 2001 รัฐบาลกลาง การปกครองส่วนภูมิภาคและท้องถิ่นในเดนมาร์กได้ร่วมมือเชิงกลยุทธ์ผ่านการจัดทำ Joint Digitisation Strategy ซึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทีละขั้นจาก Digital Collaboration ผ่านการใช้อีเมล์ มาสู่ Common Infrastructure ด้วยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการบริการดิจิทัลสาธารณะ ได้แก่ NemID เปรียบเสมือนรหัสผ่านก่อนการเข้าสู่ระบบ (log-in) ที่ปลอดภัยบนอินเตอร์เน็ต (ปัจจุบันได้เปลี่ยนมาเป็นระบบ MitID) และ Portal แพลตฟอร์มการให้บริการด้านดิจิทัลระดับชาติสำหรับประชาชน (เช่น เว็บไซต์ borger.dk ของเทศบาล) ที่ช่วยให้ประชาชนเข้าไปติดต่อทำธุรกรรมกับหน่วยงานต่างๆ ของภาครัฐผ่านระบบออนไลน์ ทำให้การเข้าถึงบริการภาครัฐมีความสะดวกรวดเร็วขึ้นอย่างมาก จากนั้นขยับขึ้นสู่ขั้น Digital Communication ด้วยการใช้ Digital Post ผ่านเว็บไซต์ e-Boks ซึ่งเป็นช่องทางให้หน่วยงานของรัฐรวมถึงภาคธุรกิจส่งข่าวติดต่อสื่อสารกับประชาชนและลูกค้าแทนการส่งจดหมาย และปัจจุบันได้เข้าสู่ยุค Digital Transformation ที่มีการใช้ digital service และ AI ช่วยในการขับเคลื่อนประเทศไปสู่การเปลี่ยนผ่านสีเขียวเป็นที่เรียบร้อย กลยุทธ์นี้เองที่ส่งผลให้เดนมาร์กจัดอยู่ในอันดับสูงสุดของผลการสำรวจระหว่างประเทศเกี่ยวกับรัฐบาลดิจิทัล โดยมีเส้นทางการพัฒนาดิจิทัลของเดนมาร์กปรากฎตามภาพด้านล่าง
ที่มา: Danish Digital Journey
🌐กลยุทธ์สำหรับขับเคลื่อนสู่อนาคต - 3 ยุทธศาสตร์หลักที่รัฐบาลเดนมาร์กใช้ดิจิทัลเป็นพลังขับเคลื่อนประเทศ ได้แก่
1. ยุทธศาสตร์แห่งชาติสำหรับการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล (National Strategy for Digitalisation)
เมื่อเดือนพฤษภาคม 2022 รัฐบาลเดนมาร์กได้เปิดตัวยุทธศาสตร์แห่งชาติสำหรับการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลฉบับใหม่ โดยมุ่งให้มีความร่วมมือในวงกว้างและมีผลผูกพันทั้งภาครัฐและเอกชน ประกอบด้วยวิสัยทัศน์ 9 ประการ ได้แก่
สามารถเข้าไปอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่: คลิกลิงก์นี้
2. ยุทธศาสตร์การเติบโตทางดิจิทัล
(Digital Growth Strategy)
ในปี 2018 รัฐบาลเดนมาร์กได้จัดสรรงบประมาณจำนวน 134 ล้านยูโร (ประมาณ 4.824 พันล้านบาท) ให้แก่โครงการริเริ่มจำนวนกว่า 38 โครงการที่จะดำเนินไปจนถึงปี 2025 เพื่อรักษาและเพิ่มพูนสถานะของเดนมาร์กในฐานะ digital hub ที่น่าดึงดูด โดยการส่งเสริม tech ecosystem ของเดนมาร์กและปรับปรุงเงื่อนไขสำหรับภาคธุรกิจเพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่ ๆ ได้อย่างเต็มที่ โดยมีวัตถุประสงค์ 3 ข้อ ได้แก่
1.การค้าและอุตสาหกรรมเข้าถึงศักยภาพของการเติบโต ที่ฝังติดกับการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล โดยรัฐบาลจะทำงานเพื่อให้แน่ใจว่าภาคธุรกิจของเดนมาร์กจะอยู่ในกลุ่มธุรกิจที่ดีที่สุดในยุโรปในด้านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและ SMEs จำนวนมากสามารถใช้เทคโนโลยีดิจิทัลขั้นสูงได้
2.เงื่อนไขที่ดีที่สุดสำหรับการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลของภาคธุรกิจ เพื่อทำให้การค้าและอุตสาหกรรมเข้าถึงศักยภาพของการเติบโตที่ฝังติดกับการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล กฎระเบียบของเดนมาร์กจึงจำเป็นต้องมีความคล่องตัวมากกว่าประเทศอื่น ๆ เพื่อให้การสนับสนุนที่ดีที่สุดสำหรับรูปแบบธุรกิจใหม่ ๆ และเพื่อรักษาและดึงดูดการลงทุนในเดนมาร์ก
3.ทุกคนควรมีความพร้อมในการใช้งานในด้าน Digital Transformation โดยชาวเดนมาร์กจะต้องเป็นบุคคลที่มีความพร้อมทางด้านดิจิทัลมากที่สุดใน EU และมีเครื่องมือเพื่อรองรับ Digital Transformation ซึ่งสามารถกระทำได้ผ่านทางระบบการศึกษาและการฝึกอบรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทุกคนพร้อมสำหรับตลาดแรงงานในอนาคตได้แก่
1) ศูนย์กลางดิจิทัลเพื่อการเติบโตทางดิจิทัลที่แข็งแกร่งขึ้น
2) ยกระดับดิจิทัลสำหรับ SMEs
3) ทักษะด้านดิจิทัลสำหรับทุกคน
4) ข้อมูลเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตในภาคการค้าและอุตสาหกรรม
5) กฎระเบียบที่คล่องตัวในภาคการค้าและอุตสาหกรรม
6) เสริมความมั่นคงทางไซเบอร์ให้แก่ภาคธุรกิจ
สามารถเข้าไปอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : คลิกลิงก์นี้
3. ยุทธศาสตร์ดิจิทัลร่วมภาครัฐ
(Joint Government Digital Strategy)
ยุทธศาสตร์ฉบับนี้เริ่มใช้ตั้งแต่ปี 2022 – 2025 มุ่งเน้นการบริการของภาครัฐที่เชื่อมผนึกและเป็นมิตรกับผู้ใช้ ลดปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ช่วยให้เกิดการเปลี่ยนผ่านสีเขียว และสร้างรากฐานที่มั่นคงทางด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล
โดยมีเป้าหมาย ดังนี้
สามารถเข้าไปอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : คลิกลิงก์นี้
จากยุทธศาสตร์สู่การบริการ e-Government ที่ครอบคลุม
ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรม
1. การทำงานและการเกษียณอายุ
2. รถยนต์และใบอนุญาต
ประชาชนสามารถเข้าไปสมัครขอสอบใบขับขี่ ขอต่ออายุและขอจดทะเบียนรถยนต์ได้ที่เว็บไซต์ www.borger.dk โดยเทศบาลของแต่ละเมืองจะเป็นผู้ดำเนินการ
3. ธุรกรรมกับเทศบาล
แอพพลิเคชั่น Perfect Waste สำหรับช่วยแนะนำข้อมูลเกี่ยวกับการแยกประเภทขยะ โดยสามารถดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นดังกล่าวได้ทั้ง Apple และ Android วิธีการใช้งานนั้นง่ายและสะดวก เพียงแสกนบาร์โค้ดหน้าฉลากของขยะที่ต้องการจะทิ้ง ก็จะระบุให้ทราบทันทีว่าจะเป็นขยะประเภทใด ซึ่งเป็นไปตามข้อตกลงทางการเมืองด้านสิ่งแวดล้อมเมื่อปี 2020 เพื่อนำไปสู่หนทางการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อย่างมีนัยสำคัญ โดยมีการกำหนดให้แต่ละครัวเรือนต้องคัดแยกขยะออกเป็น 10 ประเภท ได้แก่ แก้ว ขยะอันตราย เหล็ก ขยะเศษอาหาร กระดาษ กล่องนมและกล่องอาหาร เสื้อผ้า กล่อง กระดาษแข็ง พลาสติก และขยะทั่วไปที่นอกจากเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้น โดยเดนมาร์กให้ความสำคัญกับการรีไซเคิลขยะมากกว่าการเผาขยะ
4. การศึกษา
5. สาธารณสุข
6. การบริการภาคธุรกิจ
บทส่งท้าย Big Data
ในปี 2559 Innovation Fund Denmark ได้จัดตั้งศูนย์นวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Danish Centre for Big Data Analytics Driven Innovation – DABAI) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อผลักดันให้เดนมาร์กเป็นผู้บุกเบิกในด้านการนำ Big Data มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยจะใช้ประโยชน์จากข้อมูลทางสังคม การศึกษา และห่วงโซ่อุปทานอาหารในแอพพลิเคชั่นด้านต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน ภาคธุรกิจ รวมทั้ง การกำหนดนโยบายและการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ อาทิ การคาดการณ์อุทกภัย การจัดการข้อมูลผู้ป่วยในระบบสาธารณสุข การส่งเสริมการเรียนรู้ของนักเรียนให้สอดคล้องกับความต้องการของแต่ละบุคคล (personalized learning support) การตรวจสอบย้อนกลับเพื่อรับรองความปลอดภัยและคุณภาพอาหาร เป็นต้น
DABAI เป็นความร่วมมือ Public – Private Partnership ระหว่างหน่วยงานรัฐเดนมาร์ก (Agency for Digital Government, Danish Business Authority และ Central Denmark Region) มหาวิทยาลัย (Copenhagen University, Technical University of Denmark และ Aarhus University) และบริษัทด้าน IT ของเดนมาร์กที่มีขีดความสามารถด้าน Big Data (Systematic, Visma และ BusinessMinds)
ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เดนมาร์กได้ดึงดูดการลงทุนในด้าน Big Data จากบริษัทระดับนานาชาติขนาดใหญ่ เช่น Facebook, Google, Apple และ Microsoft ที่ได้ประกาศแผนการสร้างศูนย์ข้อมูล (Data Center) ในเดนมาร์ก บริษัท Hitachi ของญี่ปุ่นได้จัดทำความร่วมมือกับโรงพยาบาลในกรุงโคเปนเฮเกน 2 แห่งเพื่อร่วมลงทุนใน Big Data Laboratory เพื่อพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพของการดำเนินงานของโรงพยาบาลผ่านระบบ IT และข้อมูลขนาดใหญ่ ในขณะที่ World Bank Group (WBG) และ UNHCR ได้เลือกเดนมาร์กให้เป็นที่ตั้งของ Joint Data Center on Forced Displacement แห่งใหม่โดยศูนย์ดังกล่าวจะเพิ่มประสิทธิภาพของระบบการรวบรวม วิเคราะห์ และแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับผู้ย้ายถิ่นฐานและประเทศเจ้าบ้านเพื่อการตอบสนองอย่างมีประสิทธิภาพต่อวิกฤติผู้ย้ายถิ่นฐานในประเทศและภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้ง
ขอบคุณข้อมูลจาก: สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโคเปนเฮเกน
ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับนวัตกรรมไทย-สู่การพัฒนาความยั่งยืนได้ที่ เว็บไซต์ www.tniu.se
กดไลค์เพจ Facebook : https://www.facebook.com/TNIUThailandNordicInnovation
Copyright © All Rights Reserved